นางสาว จรรยพร สมศรี
เอกการประถมศึกษา
รหัสนักศึกษา 564188010
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ทดสอบ
สุขภาพแบบองค์รวม
การรักษาโรคจะเรียกได้ว่าเป็นศิลปะหากผู้ทำการรักษากำหนดได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเยียวยาคนไข้และจัดการให้ทุกอย่างดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน
เมื่อหมอกับคนไข้พบกัน ผลการรักษาที่แท้จริงนั้นต้องขึ้นอยู่กับคนทั้งสอง แต่สำหรับการแพทย์ยุคใหม่
ทั้งหมอและคนไข้ต่างถูกบ่มเพาะมาในวัฒนธรรมซึ่งมุ่งความสำคัญไปที่หมอเท่านั้นกล่าวคือหมอคือผู้ที่สามารถขจัดปัดเป่าอาการเจ็บป่วยให้หมดสิ้นไปได้ โดยที่ไม่เกี่ยวอะไรกับคนไข้เลย
หมอสมัยใหม่มักมุ่งจัดการแต่เฉพาะอาการที่คนไข้ต้องการให้รักษาโดยมีหน้าที่เฉพาะแต่การรักษาไข้ ไม่ได้รักษาคน
เช่น รักษากามโรค
แต่ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับนิสัยชอบเที่ยวสำส่อนของคนไข้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าผู้ป่วยปวดหัว หมอจะให้ยาแก้ปวด ถ้าผู้ป่วยเครียดก็ให้ยาลดความเครียด
แต่ถ้าผู้ป่วยตกงาน หมอถือว่าการตกงานไม่น่าเกี่ยวกับอาการของโรค และเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการแพทย์ ทั้งที่จริงๆ
แล้วการที่ผู้ป่วยปวดหัวอาจเนื่องมาจากความเครียดอันเกิดมาจากการตกงานก็ได้นอกจากนั้น สิ่งหนึ่งที่การแพทย์สมัยใหม่ไม่ได้ให้แก่คนไข้ก็คือ ความรู้ความเข้าในตนเอง ทั้งนี้เพราะมุ่งเน้นไปที่การใช้ยา “แช่แข็ง" ความเจ็บปวด
ซึ่งแม้จะทำให้คนไข้รู้สึกสบายขึ้น
แต่นั้นไม่ได้หมายถึงว่าโรคหรืออาการนั้นๆ อาจจะไม่ย้อยกลับมาอีก ทั้งทำให้คนไข้ไม่ยอมตระหนักถึงความรับผิดชอบต่ออาการเจ็บป่วยของตนเองว่ามีสาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไร โดยคิดแต่เพียงว่า
เจ็บป่วยเมือไหร่ยกให้เป็นหน้าที่น้าที่ของหมอไปก็หมดเรื่อง
ตรงข้ามกับปรัชญาการแพทย์ตะวันออกโดยเฉพาะการแพทย์จีน
ที่มองว่าหากเราปล่อยตัวเองให้ตกงานหรือไม่มีอะไรทำเป็นระยะเวลานานๆ จะส่งผลกระทบกระเทือนถึงตับ
และทำให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์
แก่ หงุดหงิด เก็บกด
และขาดความเชื่อมั่น
ซึ่งถือเป็นโรคภัยอย่างหนึ่งด้วย
ที่ยิ่งกว่านั้น การแพทย์จีนจะไม่เพียงวินิจฉัยโรคจากอาการเจ็บป่วยทางกายของคนไข้เท่านั้น แต่จะคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็น เพศ
วัย สภาพอารมณ์ของผู้ป่วย รวมทั้งเวลา
ฤดูกาลและภูมิประเทศขณะที่ทำการรักษาด้วย
เพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศในฤดูกาลต่างๆ จะมีผลต่อร่างกาย การให้ยาจึงต้องแตกต่างกันออกไป แม้จะเป็นโรคชนิดเดียวกันก็ตาม
หากเปรียบเทียบการวินิจฉัยโรคระหว่างการแพทย์ตะวันตกกับตะวันออกแล้ว จะเห็นว่ามีการให้ความสำคัญต่างกันดังนี้
ตะวันตกมองว่า เชื้อโรคที่เข้าสู้ร่างกาย (สาเหตุ)
® เซลล์ ® อวัยวะ ® ความเจ็บป่วยทางกาย (ผล)
ตะวันออกมองว่า ความผิดปกติภายใน เช่น
จิตใจ (สาเหตุ) ® พลังสมดุลในร่างกายแปรปรวน ® อวัยวะภายใน ® ความเจ็บป่วยทางกาย (ผล)
อย่างไรก็ตาม ชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ในยุคนี้
ต่างต้องพึ่งพาอาศัยวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่ เพราะเป็นสิ่งซึ่งใกล้ตัวกว่า
แต่ก็มีจำนวนคนไม่น้อยที่ผิดหวังกับการแพทย์ยุคนี้ แล้วหันหลังกลับไปหาการแพทย์แผนทางเลือก ซึ่งเป็นสิ่งใหม่สำหรับการแพทย์ตะวันตก
แต่เป็นสิ่งเก่าแก่ที่มีมานานแล้วของการแพทย์ตะวันออก
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
คงเป็นเพาะว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่การแพทย์สมัยใหม่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วยได้ กล่าวอีกในหนึ่งก็คือ แม้วิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่จะก้าวล้ำไปเพียงใดก็ตาม ก็ต้องพบกับปริศนาที่ชวนให้พิศวง นั่นคือ
ตอบคำถามไม่ได้ว่าทำไมผู้ป่วยจึงหายจากโรคร้ายแรงที่เรียกว่า
โรคซึ่งไม่มีทางรักษาได้ทั้งๆที่การแพทย์สมัยใหม่หมดหนทางแล้ว
จากรายงานทางการแพทย์มากมายที่ชี้ให้เห็นว่า มีผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่นมะเร็ง
โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วนบางราย ที่หมอลงความเห็นแล้วว่า มีอาการเข้าขั้นวิกฤตและไม่มีโอกาสหายได้ หรือมีโอกาสรอดชีวิตเพียงน้อยนิดเท่านั้น
แต่กลับหายขาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ บรรดาผู้ป่วยดั่งกล่าวข้างต้นไม่เพียงหายจากโรคร้ายที่เป็นอยู่เท่านั้น แต่ยังมีความสุขในชีวิตเพิ่มขึ้นอีกด้วย อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความน่าพิศวงนี้?
ก่อนที่คนเราจะมีอาการเนื้องอกหรือโรคหัวใจอย่างแรง
มักจะมีเค้าก่อหวอดมาจากความผิดปกติในชีวิตบางอย่างไม่ว่าจะเป็นผลกระทบในด้านรักการงานหรือในด้านอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพทางร่างกาย
จากรายงานทางการแพทย์ที่ได้ศึกษาประวัติคนไข้ซึ่งสามารถเอาชนะโรคร้ายแรงได้
พบว่าคนเหล่านั้นล้วนแต่ประสบกับวิกฤตการณ์ของชีวิตอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนการเจ็บป่วยทั้งสิ้นนอกจากนั้นผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่า
สภาพทางอารมณ์ส่วนใหญ่ที่นำไปสู้การเป็นมะเร็งก็คือ ความท้อแท้สิ้นหวังและเบื่อหน่ายกับชีวิต
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ
มีสายโซ่ของเหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบกับสภาพจิตใจและอารมณ์จนนำไปสู้การเจ็บป่วยทางกาย
ดั้งนั้น
ในกระบวนการรักษาที่แท้จริงจึงต้องประกอบไปด้วยการเปลี่ยนแปลงจากด้านในของผู้ป่วยเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นจิตใจทัศนคติ ตลอดจนสุขนิสัยประจำวัน
รวมทั้งในด้านความสัมพันธ์กับผู้คนหรือสิ่งอื่นๆ ภายนอก
สิ่งเหล่านี้เองเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูสุขภาพได้ด้วยตนเอง
หากจะกล่าวสรุปปัจจัยที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคที่ไม่มีทางรักษา สามารถแบ่งได้เป็น 7
ประการ ดังนี้
1.
ต้องไม่ท้อแท้สินหวัง
โรคภัยมักทำให้เราท้อแท้ ไม่ว่าจะเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาๆหรือโรคร้ายแรง
สาเหตุของโรคมักเกิดจากความเครียดในเรื่องราวสารพัน
หากผู้ป่วยใช้เวลาในช่วงนี้ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา และพยายามทำความเข้าใจตัวเองให้มากขึ้น และค่อยๆ
เรียนรู้ถึงความตายซึ่งกำลังย่างกลายเข้ามา
มาในเร็ววันนี้ก็ต้องในวันหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่นอนและหลีกเลี่ยงไม่ได้กันทุกคน สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่พิเศษสุดและเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตก็ว่าได้ เขาอาจเริ่มรู้จักทำจิตใจให้สงบนิ่งมีเวลาซึมซับกับธรรมชาติ และตระหนักรู้ถึง
สิ่งที่เป็นอยู่ ณ
ที่นี้ ในขณะนี้มากขึ้น
เมื่อทำให้ใจยอมรับได้ว่า
เวลาของเขาอาจลดน้อยลงอย่างหลีกเลียงไม่ได้ ความกระวนกระวายใจก็จะค่อยๆ ลดลง
ไม่สนใจกับผลของวันพรุ่ง
แต่จะเข้าไปประสบสัมผัสกับการรังสรรค์ของชีวิตมากยิ่งขึ้น
จนมีความพึงพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่และเป็นไปได้ในทุกๆขณะ
นี่ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในกระบวนการรักษาโรค
จากรายงานทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่า
ผู้ที่ทำตัวให้หมกมุ่นกับแรงทะเยอทะยานด้านต่างๆ มักจะเจ็บป่วยได้ง่ายกว่า และมากกว่าบุคคลที่ปล่อยวางกับสิ่งเหล่านี้ได้
จากการศึกษาเฉพะรายแสดงให้เห็นว่า
ผู้ที่จิตใจหมกมุ่นอยู่กับแรงกระตุ้นจากความทะเยอทะยาน เป้าหมาย
กำหนดเวลา และความสำเร็จ มักจะเป็นโรคหัวใจกันมาก และภูมิคุ้มกันโรคก็จะลดลงเรื่อยๆ
ที่จริงแล้วโรคร้ายที่มาเยือน
กับทำให้เราได้สัมผัสกับบางด้านของชีวิตที่เราได้ละเลยมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว สิ่งเล็กๆ
น้อยๆ ที่เราคิดว่าไม่สำคัญและได้ปล่อยปละละเลยก่อนการเจ็บป่วย อาจกลายเป็นสิ่งสำคัญในการเยียวยารักษา
ยามเช้า สัมผัสละมุนละไมของเด็กน้อย และนกที่กำลังโบยบิน...
2.
รับผิดชอบต่อความเจ็บป่วยด้วยตัวเอง
ผู้ที่หายป่วยจากโรคร้ายซึ่งแพทย์ได้ลงความเห็นว่า
ไม่สามารถมีชีวิตอยู่เกินเวลาที่กำหนดได้ทั้งยังฮึดสู้ขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
พวกเขาตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเขาเอง หยุดมองหาความช่วยเหลือจากภายนอก แล้วหันกลับมาศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองให้มากขึ้น
ซึ่งกลับทำให้สุขภาพฟื้นคืนขึ้นมาอย่างไม่น่าเป็นไปได้
ดูราวกับว่า
พวกเขาได้ก้าวไปพ้นขอบเขตของการแพทย์ปัจจุบัน แพทย์กลายเป็นแค่ตัวแทนของวิทยาศาสตร์ ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พวกเขาตระหนักด้วยตัวเอง ไม่มีการแพทย์สาขาใดสำคัญต่อความเจ็บป่วยของเขา นอกจากตัวของเขาเอง
เมื่อปลอดพ้นไปจากการพึ่งพิงหมอหรือยาใดๆ
คนเรามักจะมีความเป็นผู้ใหญ่
และรับผิดชอบต่อโรคภัยไข้เจ็บของตัวเองมากขึ้นเริ่มสังเกตพฤติกรรมของตัวเองเพื่อค้นหาสาเหตุที่มาของโรค พร้อมกันนั้นก็จะสำนึกถึงความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นๆทำให้สามารถค้นพบวิธีการรักษาความเจ็บป่วยได้
3.อาหารที่เหมาะสม
เมื่อผู้ป่วยตัดสินใจที่จะรักษาโรคด้วยตนเอง
ปัจจัยหนึ่งที่เป็นประโยชน์ในการรักษาได้แก่ อาหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะอาหารประเภทข้าว ธัญพืช
ผักผลไม้ และเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ เช่น
ปลา และเป็ดไก่
อาหารที่กล่าวข้างต้นนั้น
ก็คือโภชนาการที่ยึดหลักการรักษาโรคตามแบบโบราณของการแพทย์ตะวันออก ได้แก่
อาหารประจำวัน สมุนไพร และตัวยาธรรมชาติ
ซึ่งช่วยในการเยียวยารักษาและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก
ทั้งนี้ก็เพราะว่า อาหารประเภทข้าว ธัญพืช
และผัก
ช่วยลดไขมันที่มีอยู่ในเลือด
ลดการไหลเวียนของเลือด
และเพิ่มปริมาณของออกซิเจนในการหล่อเลี้ยงเซลล์ทั่วในร่างการ จึงทำให้เรารู้สึกแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ร่างกายละลายไขขันส่วนเกินที่อุดตันในกระแสเลือดออกไป
4.ตั้งปณิธานแน่วแน่ที่จะหาย
ได้มีการค้นพบว่า
กลุ่มผู้ที่เศร้าโศกถึงญาติมิตรหรือคนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว มีอัตราการตายมากกว่าในกลุ่มที่ไม่เคยประสบภาวะเช่นนั้น
อะไรคือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่เกิดขึ้น ในบุคคลที่กำลังทนทุกข์ทรมาน จากสิ่งที่สังคมเรียกว่า ความรันทดใจ
ผู้ที่ประสบภาวะดั่งกล่าว
มักหมดอาลัยในชีวิต
อันมีผลให้กลไกลป้องกันโรคของร่างกาย
การวิจัยพบว่า ไฮโปธารามัส
มีอิทธิพลมหาศาลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคและระบบต่อมร็ทิอไฮโปธารามัสแปรปรวนไปตามสภาวะอารมณ์แพทย์จึงมีการปรับระบบภูมคุ้มกัน โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า การปรับสภาวะประสาทอัตโนมัติ
กล่าวคือ เป็นวิธีการฝึกควบคุมอารมณ์ เช่น
ความกังวล
โดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เข้าช่วย
เพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงการทำงานของร่างกายที่นอกเหนืออำนาจของจิตใจ เช่น
ควบคุมความดันโลหิต หรืออัตราการเต้นของหัวใจ
5 . ความเชื่อ
ได้มีการศึกษาถึงผลกระทบของความเชื่อที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนเรา โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของรัฐฯ ซึ่งได้ออกไปทำแบบสอบถามในหัวข้อการกินแมลงสาบ
แน่ล่ะไม่มีใครตอบว่า ยอมกินแมลงสาบ
และเมื่อถามว่าทำไม
ก็ได้รับคำตอบว่า
แมลงสาบสกปรกจะตาย แถมเป็นพาหะของโรคสารพัด
เมื่อถามต่อว่าถ้าเอาไปอบฆ่าเชื้อจนปราศจากเชื้อโรค 100% แล้วล่ะ
ก็ได้รับคำตอบว่า อ้อมแอ้ว่าแหมก็กินไม่ลงอยู่ดีแหละ ทำไมล่ะ
มันสะอาดจนปลอดเชื้อโรคแล้วนะ
ก็เพราะมันเป็น แมลงสาบ น่ะสิ
นี่จะเห็นได้ว่า
คำตอบได้เปลี่ยนจากสิ่งที่จะก่อให้เกิดโรคร้าย (ทางกาย)
ไปสู่ความเชื้อที่ไม่สามารถอธิบายได้แล้ว
นอกจากนั้น
ในกระบวนการรักษาโรคความเชื่อมั่นจะส่งผลด้านจิตวิทยาอย่างลึกซึ้ง การวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้ป่วยถูกให้ ยาหลอก
และทำให้เขาเชื้อว่าสามารถระงับความเจ็บปวดได้ ผลก็คือผู้ป่วย รู้สึก
ว่าความเจ็บปวดได้บรรเทาลงจริงๆ
6.ความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง
จากการศึกษาหลายๆ ครั้งชี้ให้เห็นว่า
ความต้องการพื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ ความต้องการที่จะรับความรักและความเอาใจใส่จากคนรอบข้างผู้ป่วยทุกร้ายที่หายจากโรคได้เพราะว่าต่างได้รับกำลังใจจากคนอื่นๆ
หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ผู้ป่วยก็คงตกอยู่ในความหวาดหวั่นและกลัวนั่นเป็นภาวะอารมณ์หลายๆ คนกำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองให้กระต่ายกินอาหารที่มีไขมันสูงกว่าปกติเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อนำมาตรวจก็พบว่า พวกมันมีอาการไขมันอุดตันในเส้นเลือด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณหัวใจเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับกระต่ายอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งให้อาหารเหมือนกัน แต่ในทุกๆวันจะนำมันออกมาจากกรง
และพูดคุยกับมันด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรักใคร่เอ็นดูอย่างอ่อนโยน
ดังนั้น ผู้ป่วยต้องยอมรับในข้อนี้ ญาติมิตรคนใกล้ชิดก็ต้องเข้าใจ และเอาใจใส่ให้มากขึ้นด้วย
7. มีจุดหมายในการมีชีวิต
เมื่อถามว่า อะไรคือจุดหมายที่ทำให้สู้ต่อ คำตอบที่ได้รับมามักจะคล้ายคลึงกันคือ
ผมยังตายไม่ได้ จนกว่าลูกชายจะเรียนจบ
พวกเขาติองการผมมากในงานใหญ่ชิ้นนี้
ไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่า อะไรคือจุกหมายของชีวิต แต่ละคนยอมมีจุดหมายที่ต่างกัน
ผู้ที่เอาชนะโรคร้ายได้ต้องมีความเชื่อมั่นว่าเขาจะหายจากโรคมีจุดหมายต่อการมีชีวิตอยู่อย่างชัดเจน
เพราะมันทำให้เขารู้สึกถึงความสำคัญของการมีชีวิตอยู่และการสร้างสรรค์ในชีวิตสำหรับตนเองและผู้อื่น
จากปัจจัยทั้ง 7
ประการซึ่งมีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อสุขภาพที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนั้น จะเห็นได้ว่านอกจาก อาหารที่เหมาะสมแล้วปัจจัยอื่น อีก
6
ประการกลับเป็นปัจจัยทางด้านจิตวิทยา
และ สภาวะอารมณ์ความรู้สึก ทั้งนั้น
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ
อยู่นอกเหนือขอบเขตของวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์หลายประการ ซึ้งไม่อาจพิสูจน์ทดลองให้เห็นกันได้ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก หากคนสองคนเป็นโรคชนิดเดียวกัน ได้รับอาหารและยาเหมือนกัน แต่คนหนึ่งหายจากโรคได้ ในขณะที่อีกคนดูเหมือนจะหมดหวัง
สรุปได้ว่า
บรรดาแพทย์สมัยใหม่ยอมรับแล้วว่า
ในการรักษาโรคนั้นจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยด้านอื่นๆ ด้วย
นั้นก็คือการเข้าไปสัมผัสกับห้วงลึกในจิตใจของมนุษย์เรา
และนั้นก็คือการหันกลับไปหาภูมิปัญญาดั่งเดิมของการแพทย์ตะวันออก ที่มุ่งเน้นถึงสิ่งที่อยู่เหนือไปกว่าสุขภาพทางร่างกาย...การดูแลรักษาสุขภาพแบบองรวม
เอกสารอ้างอิง/บรรณานุกรม
มนตรี ภู่มี.
สุขภาพดี ‘ ใจ’ สร้างได้.--กรุงเทพฯ: ดีเอ็มจี, 2552.
จำนวน 330 หน้า.
1. สุขภาพ. 2.
จิตใจและร่างกาย I. ชื่อเรื่อง.
613
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)